23.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ณ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ชั้น 4 ประตู 6 เคาน์เตอร์ M โดยสายการบิน Qatar Airways โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
02.30 น. เหินฟ้าสู่ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบินที่ QR 837 (ใช้เวลาบิน 7 ชั่วโมง) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
05.30 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติฮาหมัด เมืองโดฮา รอเปลี่ยนเครื่องสำหรับเที่ยวบินถัดไป
08.45 น. เหินฟ้าสู่ บากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจัน โดยสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบินที่ QR 353 (ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง 50 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
12.35 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติเฮดาอาลิเยฟ เมืองบากู สาธารณรัฐอาเซอร์ไบจัน หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว นำท่านเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองบากู มุ่งตรงไปยังร้านอาหารทันที
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย เริ่มท่องเที่ยวนำชมเมืองหลวงบากู "บากู" หรือชื่อเดิม “บากี” เป็นภาษาเปอร์เซียแปลว่าเมืองแห่งสายลม เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของอาเซอร์ไบจัน ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแคสเปียนของภูมิภาคคอเคซัส เมืองบากูอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 28 เมตร จึงทำให้บากูเป็นเมืองหลวงที่อยู่ต่ำที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นเมืองศูนย์ กลางทางด้านวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมและอุตสาหกรรมของอาเซอร์ไบจัน มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ รวมทั้งมีสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่หลายแห่งรวมตัวกันอยู่ในเมืองนี้
นำท่านไปที่ จุดชมวิวเมืองบากู (Sahidlar Xiyabani) ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงสุดจากยอดเขาทั้งเจ็ดลูกของเมืองบากู เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ในมุมกว้างของเมืองบากู สามารถมองเห็นอ่าวโค้งของทะเลสาบแคสเปียน ตัวตึกรามบ้านช่อง และอาคารสูงตระง่าน รวมทั้งท่าเรือและเรือขุดเจาะน้ำมัน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมเมืองบากูมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว เพราะมีทรัพยากร ธรรมชาติพวกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล
ระหว่างทางขึ้นจุดชมวิว เดินผ่านสุสานของเหล่าทหารและวีรชนที่เสียชีวิตในสงคราม ใกล้กับจุดชมวิว จะเป็นที่ตั้งของกลุ่มอาคารรูปเปลวเพลิง (Flame Towers) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นที่สะท้อนถึงความทันสมัยของเมืองแห่งนี้
นำท่านแวะถ่ายรูป เฮดาร์ อาลิเยฟ เซ็นเตอร์ (Heydar Aliyev Center) อีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความทันสมัยของเมืองบากู ที่ออกแบบโดยสถาปนิกหญิงชื่อดังนามว่า Zaha Hadid โดยรูปทรงภายนอกของอาคารสีขาวคล้ายกับเกลียวคลื่นดูเก๋ไก๋และโดดเด่นในใจกลางเมือง
อิสระให้ท่านได้เดินเล่นบน ถนนนิซามี (Nizami Street) เป็นถนนช้อปปิ้งยอดนิยมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบากู บนถนนสายนี้มีบรรดาร้านค้าที่จำหน่ายสินค้ามากมาย รวมถึงยังมีร้านอาหารหลากหลายร้านให้เลือกทานกัน อาทิ อาหารพื้น เมืองอาเซอร์รี่ อาหารสไตล์ยุโรป อาหารเอเชีย เป็นต้น อาคารสถาปัตยกรรมยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 อันสวยงามบนถนนสายนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจสำหรับนักช้อปและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะยามค่ำคืนเมื่อเริ่มเปิดไฟประดับอาคารต่างๆ ถนนสายนี้เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับสวยงามยิ่งนัก
เย็น พาเดินเล่นชมวิวทะเลแคสเปียนและวิวเมืองในมุมกว้างบนถนนริมทะเล ณ Baku Boulevard
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Baku Marriott Hotel Boulevard 5* ,Baku หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางไปยัง โกบูสถาน (Gobustan) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองบากู มีระยะทางราว 65 กิโลเมตร อุทยานโกบูสถาน ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะภาพแกะสลักและภาพวาดที่เกี่ยวกับเรื่องราวการล่าสัตว์ การต่อสู้ และพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงช่วงยุคกลาง นักมานุษยวิทยาและนักโบราณคดีคาดว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของมนุษย์ในระหว่าง 5,000 - 40,000 ปีที่ผ่านมา โกบูสถานถูกค้นพบโดยกลุ่มคนงานเหมืองในปีค.ศ.1930 เมื่อพนักงานคนหนึ่งสังเกต เห็นภาพแกะสลักอยู่บนโขดหิน นอกจากนั้นยังค้นพบถ้ำ ที่เต็มไปด้วยภาพเขียนต่างๆที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของโลกและประเทศอาเซอร์ไบจัน องค์การยูเนสโก้จึงได้ประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2007
ระหว่างทางแวะชม ภูเขาไฟโคลน (Mud Volcano) ที่เกิดจากดินเหลวและก๊าซ ลักษณะคล้ายลาวาพุ่งขึ้นจากใต้ดิน ในประเทศอาเซอร์ไบจันมีภูเขาไฟโคลนมากกว่าครึ่งหนึ่งที่พบบนโลก
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านเดินเที่ยวแถว ย่านเมืองเก่า (Baku Old City) พาชม ประตูเมืองเก่าเชเมคา (Shemakha Gate) พระราชวังเชอร์วานชาค์ (Shirvanshakh's Palace) ภายในจะมีศาลตัดสินความ สุสานของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ โรงอาบน้ำโบราณ ที่พักกองคาราวาน (Caravanserai) หอสังเกตการณ์เมดาน (Maiden Tower) และ ตลาดผลไม้ในสมัยโบราณ ปัจจุบันดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่ง ก่อสร้างในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 11-12 ต่อมาในปี ค.ศ.1806 อาเซอร์ไบจันถูกครอบครองโดยจักรวรรดิ์รัสเซีย ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการค้า มีร้านค้ากว่า 700 ร้าน ประชากรรวมกันกว่า 7,000 คน ภายในกำแพงเมืองเก่ามีปืนใหญ่ตั้งอยู่รายรอบ ประตูเมืองทั้งสองแห่งเปิดให้ทำการค้าและมีการตั้งสำนักงานศุลกากรขึ้นในปี ค.ศ.1809 ในเวลาต่อมาเมืองบากูเริ่มขยายและถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน พวกที่คิดว่าตนเองดีกว่ารวยกว่าก็ย้ายออกไปตั้งบ้านเรือนใหม่นอกกำแพงโดยนำรูปแบบการก่อสร้างแบบบาร็อคและโกธิคมาใช้ จึงทำให้ย่านเมืองบากูใหม่มีบ้านเมืองที่คล้ายคลึงกับแถบยุโรป นอกจากนี้ในปีค.ศ.2000 เมืองเก่าบากูได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีกด้วย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Baku Marriott Hotel Boulevard 5*, Baku หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
ออกเดินทางสู่ เมืองเชคฆี ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองบากู ระหว่างทางท่านสามารถชื่นชมทิวทัศน์อันสวยงาม เดินทางต่อไปบนเส้นทางผ่าน เมืองเชเมคาหรือเชเมคี (Shemakha or Shemakhi) เมืองหลวงเก่าของอาเซอร์ไบจันก่อนที่จะย้ายไปยังเมืองบากู แวะชม สุสานของดิริบาบา (Diri Baba Mausolem) ตั้งอยู่ที่เมืองมาราซา (Maraza) สร้างอยู่บริเวณที่เป็นหน้าผา เป็นอาคารสถาปัตยกรรมสองชั้นที่มีรูปแบบสวยงามสร้างเจาะเข้าไปในหน้าผา สร้างในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นสุสานของท่านเชค ดิริ บาบา (Sheikh Diri Baba) นักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวอาเซอร์ไบจันเคารพนับถือและเดินทางมาจาริกแสวงบุญ ณ ที่แห่งนี้ทุกปี
ครั้นเดินทางถึงเมืองเชเมคี นำท่านชม มัสยิดจูมาแห่งเมืองเชเมคี สถานที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดและอลังการมากที่สุดแห่งหนึ่งของอาเซอร์ไบจัน ในขณะที่โครงสร้างปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.2013 แรกเริ่มเดิมทีมัสยิดถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.743 ทำให้มัสยิดแห่งนี้เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองในคอเคซัสและเก่าแก่ที่สุดในอาเซอร์ไบจัน นอกจากความ สำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาแล้ว ท่านจะได้สัมผัสกับสถาปัตยกรรมที่สง่างามและดูขลังเงียบสงบภายในมัสยิด
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย หลังอาหาร สมควรแก่เวลาเดินทางต่อไปจนถึงเมืองเชคฆี
นำท่านชม พระราชวังเชคฆี (Sheki Khans Palace) เป็นพระราชวังฤดูร้อนของข่านเชคฆี ภายนอกตกแต่งด้วยกระ เบื้องหลากสี สีน้ำเงินเข้ม สีฟ้าคราม สีเหลือง ตามรูปทรงเรขาคณิตแบบอิสลามพร้อมด้วยน้ำพุ สระน้ำและการจัดสวน โครงสร้างที่ใหญ่และหรูหรา ภายในผนังและเพดานเต็มไปด้วยภาพวาดลวดลายสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละห้อง อีกทั้งหน้าต่างยังใช้กระจกสีที่นำมาจากอิตาลี โดยผ่านพ่อค้ากองคาราวาน พระราชวังแห่งนี้สร้างเสร็จในปีค.ศ.1762 โดย มูหะหมัด ฮัสซัน ข่าน และได้รับการบูรณะใหม่โดยได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารโลก
จากนั้น หากมีเวลาเหลือ เดินเล่นชมร้านรวงที่ขายสินค้าพื้น เมืองรวมทั้งขนมหวานที่มีชื่อเสียงของเมืองเชคฆีที่มีชื่อว่า “Halva” ก่อนเดินทางต่อไปยังโรงแรมเพื่อพักผ่อนอย่างอิสระตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Sheki Saray Hotel 4*, Sheki หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
อำลาอาเซอร์ไบจัน เดินทางต่อไปยังด่านพรมแดนอาเซอร์ไบจัน-จอร์เจีย ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง เปลี่ยนรถ พบมัคคุเทศก์ชาวจอร์เจียเพื่อเดินทางไปยังเมืองซิกนากี (โปรดทราบ...ระหว่างการข้ามพรมแดนทั้งสองประเทศ จะมีช่วงรอยต่อพรมแดนที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ (No Man Land) ท่านจะต้องลากกระเป๋าของตนเอง ระยะทางราว 500-600 เมตร ไม่มีคนยกกระเป๋าบริการ เนื่องจากเป็นเขตแดนควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด)
เมืองซิกนากี (Sighnaghi) เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่ไม่เกิน 3,000 คน ในเขตแคว้นคาเคติ (Khakheti) เมืองนี้มีชื่อที่มาจากภาษาเตอร์กิชว่า “Signakh” แปลว่า “ที่พักอาศัย” ปัจจุบันได้ถูกเรียกขานว่า นครแห่งความรัก (Love City) เนื่องจากสถาปัตยกรรมและสีสันอันอ่อนหวานของบ้านเรือนแบบพื้นบ้านที่ทอดตัวอยู่บนเนินเขา เมื่อมองลงไปจะมองเห็นผืนที่ราบกว้างใหญ่ ซิกนากีเป็นเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์อีกแห่งของจอร์เจีย ในฐานะเป็นศูนย์กลางทางการค้าและงานศิลปะจำพวกช่าง ฝีมือแขนงต่างๆ สิ่งสำคัญโดดเด่นเฉพาะถิ่นแถบนี้คือ การทำไร่องุ่นและการบ่มไวน์ที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ที่นี่เป็นแหล่งเพาะองุ่นพันธุ์ที่ดีที่สุดในจอร์เจีย เขตคาเคติมีกำลังการผลิตไวน์ได้ถึงร้อยละ 70 ของประเทศ นำท่านร่วมเดินทางไปบน เส้นทางแห่งไวน์ (Wine Route) ที่เป็นถนนสายเล็กๆที่ซอกซอนเข้าไปในหมู่บ้านแทบทุกสาย
นำท่านเดินทางไปยัง อุโมงค์ไวน์ (Winery Khareba) ที่ท่านจะได้ชมกระบวนการการผลิตพร้อมชิมไวน์ที่มีชื่อเสียงของจอร์เจียที่เก็บบ่มไวน์ในอุโมงค์ใต้ดิน ด้วยคุณภาพไวน์จากวิธีการเก็บบ่มไวน์ดัง กล่าวนี้เองทำให้จอร์เจียและไวน์ของที่นี่ได้รับสมญานามว่า Georgia - A Cradle of Wine
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านชม อารามโบดเบ (Bodbe Monastery) ที่ตั้งอยู่ห่างจากซิกนากีออกไป 2 กิโลเมตร ถือเป็นสถานที่แสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญมากอีกแห่งหนึ่ง ใช้เป็นสถานที่บูชารำลึกและเก็บร่างของนัก บุญนิโน (St.Nino) ผู้เผยแพร่คริสต์ศาสนาของจอร์เจียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4
นำท่านชม ป้อมปราการแห่งซิกนากี (Sighnaghi Old Fortress) ตั้งอยู่ในเขตคาเคติ (Kakheti) เมืองซิกนากีก่อตั้งโดยกษัตริย์ Irakli II ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 กำแพงป้อมปราการอยู่ในสภาพดีเยี่ยมและยังทำหน้าที่ปกป้องเมือง ที่นี่ถือเป็นป้อมปราการที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในจอร์เจีย หอคอยและกำแพงป้อมปราการขนาดใหญ่มอง เห็นได้จากระยะไกล กำแพงป้อมปราการตั้งอยู่บนทางลาดของภู เขา จากจุดสูงสุดของกำแพงป้อม คุณจะได้ชมทัศนียภาพที่ดีที่สุดของเมืองและหุบเขาอลาซานี (Alazani)
เมื่อได้เวลาพอสมควร นำท่านเช็คอินเข้าที่พัก พักผ่อนและเปลี่ยนอิริยาบถ
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Kabadoni Boutique Hotel 4*, Sighnaghi หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
เช้านี้สดใส นำท่านชม พิพิธภัณฑ์มนุษยวิทยาและโบราณคดีแห่งซิกนากี (Ethnographic and Archaeological Museum) บริเวณภายในชั้นล่างจัดแสดงวัตถุโบราณต่างๆ ที่ขุดค้นพบจากสุสานในแถบหุบเขาอลาซานี (Alazani) เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรี เครื่องมือ อาวุธต่างๆ ส่วนชั้นบนท่านจะได้ชมภาพเขียนของนักประพันธ์กวีผู้โด่งดังในจอร์เจีย Niko Pirosmani และ Lado Gudiashvili
จากนั้นอิสระให้ท่านเดินเล่นในเมืองซิกนากี เมืองเล็กๆบนเนินเขา ช้อปปิ้งงานถักทอพื้นเมืองที่ทำโดยชาวบ้านในราคากันเอง
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย เดินทางต่อไปสู่ เมืองทบิลิซี (โดยมีระยะทาง 110 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง)
นำท่านชมโบสถ์นิกายออโธด๊อกซ์ วิหารตรีเอกานุภาพแห่งทบิลิซี (Holy Trinity Cathedral of Tbilisi) โบสถ์นี้ในภาษาท้องถิ่นมีชื่อว่า ซาเมบา (Sameba) เป็นโบสถ์คริสต์ออโธด๊อกซ์ที่สูงสุดเป็นอันดับสามของโลก (ความสูง 84 เมตร) ใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 10 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.2004 เดิมสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นสุสานเก่าของชาวอาร์เมเนียในกรุงทบิลิซี
นำท่านชม อนุสาวรรีย์ประวัติศาสตร์จอร์เจีย (The Chronicle of Georgia) ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งหินสีดำขนาดใหญ่แกะสลักเป็นรูปไอคอนต่างๆ ที่สื่อถึงเรื่องราวในอดีตของประเทศจอร์เจีย ถูกสร้างขึ้นโดย ซุราป นักสถาปนิกชื่อดังก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ.1985 ประกอบ ด้วยแท่งเสา 16 แท่ง แต่ละแท่งสูง 35 เมตร แต่ละเสาจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนล่างสุดเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ส่วนกลางเกี่ยวกับเรื่องราวของข้าราชการชนชั้นสูงของจอร์เจีย ส่วนบนเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญต่างๆของประเทศ ท่านสามารถชมวิวเมืองจากมุมสูงได้จากสถานที่แห่งนี้อีกด้วย
อิสระให้ท่านเดินช้อปปิ้งตามอัธยาศัย ณ ห้างสรรพสินค้า Galleria Tbilisi
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson Blu Iveria Hotel 5*, Tbilisi หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเที่ยว เมืองมซเฮตา (Mtskheta) เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาของจอร์เจีย ตั้งอยู่ห่างจากกรุงทบิลิซีไป 25 กิโลเมตร ในอดีตเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรไอบีเรียตั้งแต่ในช่วงยุค 300 ปีก่อนคริสตกาลจนกระทั่งศตวรรษที่ 5 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้ “โบราณสถานแห่งเมือง มซเฮตา” เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1994
จากนั้นนำท่านสู่ อารามจวารี (Jvari Monastery) จากเนินเขาที่ตั้งของอารามจะมองเห็นวิวทิวทัศน์สวยงามของอดีตเมืองหลวงเก่าของจอร์เจีย และเป็นบริเวณจุดบรรจบกันของแม่น้ำสองสายหลักของจอร์เจีย คือ แม่น้ำมตควารีและแม่น้ำอารักวี อารามแห่งนี้เป็นที่เก็บไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในสามอันที่สร้างในสมัยนักบุญนีโน่
นำท่านชม มหาวิหารสเวติสโฆเวลี (Svetitskhoveli Cathedral) สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 ที่นี่คือศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจอร์เจีย ภายในมหาวิหารแห่งนี้จะมีภาพเขียนเฟรสโก้ที่สวยงาม ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับคริสต์ศาสนา และยังมีหลุมฝังพระศพของกษัตริย์จอร์เจียที่สำคัญอีกสองพระองค์คือ กษัตริย์วาคตัง กอร์กาซาลี (King Vakhtang Gorgasali of Katli) แห่งคริสต์ ศตวรรษที่ 4 และกษัตริย์อีเรคเคิลที่สอง (King Erekle II) แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 18
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย ออกเดินทางต่อไปบนเส้นทางหลวงทหารจอร์เจียสายประวัติศาสตร์ (Georgian Military Highway) ทางทิศเหนือของทบิลิซี สู่เมืองคาซเบกิ ระหว่างทางแวะชม ป้อมปราการอันนานูรี (Ananuri Fortress) ซึ่งเป็นป้อมปราการเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอารักวีใกล้อ่างเก็บน้ำซินวาลี สร้างขึ้นโดยท่านดยุคแห่งอารักวีในช่วงคริสต์ ศตวรรษที่13 ป้อมปราการนี้ประกอบด้วยสองส่วนเข้าด้วยกัน คือ ป้อมปราการส่วนบนที่เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมถูกอนุรักษ์ไว้อย่างดี และป้อมปราการส่วนล่างมีลักษณะอาคารทรงกลมก็อยู่ในสภาพถูกทำลายเสียหายโดยส่วนใหญ่ ปัจจุบันป้อมปราการแห่งนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย (Unesco Tentative List)
เดินทางต่อสู่เมืองแห่งสกีรีสอร์ทที่สวยงามแห่งเทือกเขาคอเคซัส ณ ระดับความสูง 2,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นประตูหน้าด่านสู่ เมืองสเตปันทสมินดา (Stepantminda) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า เมืองคาซเบกิ (Kazbegi) บนเส้นทางหลวงทหารสายนี้ ท่านจะได้เพลิดเพลินกับความงดงามตระการตาของวิวทิวทัศน์แถบเทือกเขาคอเคซัส (The Greater Caucasus) ตลอดเส้นทาง คาซเบกิเป็นชื่อเรียกในสมัยที่ถูกปกครองโดยสหภาพโซเวียต เมืองใกล้ชายแดนรัสเซียที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความงามทางธรรมชาติของทิวทัศน์และยอดเขาคาซเบ็ก (Mount Kazbek) ซึ่งมีความสูง 5,047 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับเจ็ดของเทือกเขาคอเคซัส
นำท่านนั่งรถจี๊ป (คันละ 4-5 ท่าน) ขึ้นสู่ยอดเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของ โบสถ์สมินดา ซาเมบา (Tsminda Sameba Church / Gergeti Trinity Church) ในระดับความสูง 2,170 เมตรที่อยู่ใกล้หมู่บ้านเกอเกติ โบสถ์เก่าแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีอายุกว่า 700 ปี ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของจอร์เจีย และได้ขึ้นหน้า ปกของหนังสือท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet ฉบับล่าสุด อิสระให้ท่านถ่ายภาพวิวทิวทัศน์บริเวณรอบๆ โบสถ์ที่มองเห็นหมู่บ้านเกอเกติอยู่เบื้องหน้าและเมืองคาซเบกิอยู่เบื้อง หลังและทุ่งหญ้ารอบเนินเขาก็เป็นแหล่งอาหารของฝูงวัวแห่งคอเคซัสด้วย (ก่อนเข้าชมโบสถ์ด้านใน เฉพาะผู้หญิงจะต้องนุ่งผ้าที่ทางวัดเตรียมไว้ให้)
จากนั้นเดินทางกลับลงไปยังเมืองเพื่อเปลี่ยนเป็นรถบัส
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Rooms Hotel 4*, Kazbegi หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม พร้อมชมทิวทัศน์ของเทือกเขาคอเคซัสและยอดเขาคาซเบ็ก ณ ระเบียงเบื้องหน้าของโรงแรม
เช้านี้ เดินทางต่อสู่เมืองโกรี ระหว่างทางให้ท่านแวะถ่ายรูปที่ อนุสรณ์สถานมิตรภาพระหว่างจอร์เจียและรัสเซีย (Georgia and Russia Friendship Monument)
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย เมืองโกรี เป็นเมืองหลวงของแคว้นชีดา คาร์ตลี ในยุคของสหภาพโซเวียต โกรีได้ถูกพัฒนาให้เป็นเมืองศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม อีกทั้งเป็นบ้านเกิดของโจเซฟ สตาลิน อดีตจอมเผด็จการผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของโลกช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
นำท่านชม พิพิธภัณฑ์และบ้านเกิดของโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin Museum) พร้อมทั้งรถไฟที่เขาใช้ในการเดินทางไปประชุมในที่ต่างๆ
นำท่านเดินทางไปชม นครถ้ำอุพลิทซิเฆ (Uplistsikhe) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองโกรีไปทางทิศตะวัน ออกเฉียงใต้ราว 15 กิโลเมตร อุพลิทซิเฆ Uplistsikhe คือนครถ้ำที่เคยเป็นถิ่นฐานของผู้คนและอารยธรรมในแถบนี้ตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อน หินผาขนาดใหญ่ถูกสกัดและสลักเสลาเป็นช่องห้องโถงต่างๆ มากมายจนกลายเป็นนครถ้ำตั้งอยู่บนแนวเทือกเขาหินทรายซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ อดีตถ้ำอุพลิทซิเฆเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของจอร์เจียฝั่งตะวันออกตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล และช่วงที่เมืองนี้มีความเจริญสุดขีด คือ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 9-11 ก่อนจะถูกรุกรานโดยชาวมองโกลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 และถูกปล่อยให้เป็นเมืองร้างไป ประการสำคัญนครถ้ำอุพลิทซิเฆ คือส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมที่เชื่อมต่อเมืองไบแซนติอุมแห่งจักรวรรดิ์ไบแซนไทน์ ปัจจุบันคือ อิสตันบูลของตุรกี
เมื่อเดินทางกลับถึงเมืองทบิลิซีแล้ว เช็คอินเข้าสู่โรงแรมที่พัก เชิญพักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson Blu Iveria Hotel 5*, Tbilisi หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
09.00 น. เริ่มท่องเที่ยวใน เมืองทบิลิซี (Tbilisi) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจอร์เจีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคูรา (Kura) หรือเรียกว่าแม่น้ำมตควารี (Mtkvari) ในภาษาจอร์เจียน เมืองทบิลิซีเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,700ปี เริ่มสร้างเมืองขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 โดยกษัตริย์วาคตัง กอร์กาซาลี (King Vakhtang Gorgasali of Katli) กษัตริย์จอร์เจียแห่งไอบีเรีย
นำท่านชมสถานที่สำคัญต่างๆของเมืองทบิลิซี อันได้แก่ โบสถ์เมเตคี (Metekhi Church) เป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ตั้งอยู่บริเวณริมหน้าผาที่เบื้องล่างเป็นแม่น้ำมตควารี สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวจอร์เจีย ในอดีตถูกใช้เป็นป้อมปราการและที่พำนักของกษัตริย์ ในบริเวณเดียวกันท่านจะได้พบกับอนุสาวรีย์ทรงม้าของกษัตริย์วาคตัง กอร์กาซาลี ผู้สร้างเมืองตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม
แล้วนำท่านชม โรงอาบน้ำแร่เก่าแก่ (Bath Houses) ในย่านโซโลลากี (Sololaki) ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องบ่อน้ำร้อนกำมะถันธรรมชาติ (Sulphur Spring Water) จึงเหมาะกับกิจกรรมออนเซ็นในแบบฉบับของจอร์เจีย โรงอาบน้ำเหล่า นี้ยังมีการให้บริการอยู่ในปัจจุบัน และเป็นที่นิยมของชาว เมืองทบิลิซี
นำท่านขึ้นกระเช้าไฟฟ้าสู่ ป้อมปราการหินนาริกาลา (Narikala Fortress) ป้อมปราการที่ได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งและตีได้ยากที่สุดบนเส้นทางสายไหมและถือว่าเป็นจุดชมวิวไฮไลท์ของทบิลิซี ใกล้ๆ กันก็จะเห็นอนุสาวรีย์แม่แห่งจอร์เจีย (Mother of Georgia) โดยเป็นรูปหล่อจากอลูมิเนียมสูง 20 เมตร มือข้างหนึ่งถือดาบ ข้างหนึ่งถือแก้วไวน์ เป็นสัญลักษณ์แสดงลักษณะนิสัยของชาวจอร์เจียที่มีมิตรไมตรีต่อแขกที่มาเยือนแต่ก็พร้อมที่จะสู้กับศัตรูที่เข้ามารุกราน
นำท่านเดินชม ย่านเมืองเก่า (Old Tbilisi) นครหลวงทบิลิซี หนึ่งในชุมชนคริสเตียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่เคยถูกรุกรานหลายครั้งหลายคราจากพวกชาวอาหรับ เปอร์เซีย มองโกล และรัสเซีย ทำให้นครแห่งนี้ผสมผสานไปด้วยชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์เก่าแก่ต่างๆที่อาศัยอยู่มายาวนานหลายชั่วอายุคน เป็นย่านเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล อาทิ ย่านโซโลลากี บ้านเรือนพื้นเมืองอายุหลายร้อยปีที่เป็นศิลปะ ผสมผสานระหว่างยุโรปกับเปอร์เซีย รวมทั้งเป็นย่านที่ตั้งของโรงอาบน้ำโบราณของทบิลิซีอีกด้วย
ถนนชาร์ดีน (Chardin Street) ถนนคนเดินขึ้นชื่อสายหนึ่งในย่านเมืองเก่าที่เป็นศูนย์รวมร้านค้าต่างๆ
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น (อาหารจีน)
บ่าย นำชม พิพิธภัณฑ์สมบัติแห่งชาติจอร์เจีย (Georgian National Museum) สถานที่ที่จัดแสดงวัตถุโบราณ โดยเฉพาะเครื่องประดับทองคำอันล้ำค่าในสมัยก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 3 นอกจากนั้นยังมีห้องที่แสดงชุดเกราะ อาวุธต่างๆ ที่ใช้ในสงคราม รวมทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคโซเวียต ซึ่งจัดแสดงในชั้นบน
อิสระให้เดินเล่นบน ถนนรุสตาเวลี (Rustaveli Avenue) เป็นถนนธุรกิจสายหลักของนครที่สองฟากถนนมีอาคารสไตล์ยุโรปสวยงามตั้งเรียงรายเต็มไปด้วยร้านค้าหรูหรา ร้านกาแฟ ร้านแผงลอยขายของที่ระลึกมากหลากหลายมาวางอวดโฉมอยู่บนทางเท้าราวกับพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson Blu Iveria Hotel 5*, Tbilisi หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
08.00 น. เดินทางมุ่งหน้าสู่ เมืองซาดาโคล ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงทบิลิซีราว 72 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที อันเป็นเมืองหน้าด่านพรมแดนระหว่างจอร์เจียและอาร์เมเนีย (การข้ามพรมแดนทั้งสองประเทศ จะมีช่วงรอยต่อพรมแดนที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ (No Man Land) ท่านจะต้องลากกระเป๋าของตนเอง โดยมีระยะทางราว 250 เมตร เพราะไม่มีคนยกกระเป๋าบริการเนื่องจากเป็นเขตแดนควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด) หลังจากผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
นำท่านเดินทางสู่ เมืองฮักห์พาท (Haghpat) ทางตอนเหนือของอาร์เมเนีย เป็นที่ตั้งของอารามสำคัญ ทั้ง 2 แห่ง คือ อารามฮักห์พาท (Haghpat Monastery) สร้างในปีค.ศ. 976 และ อารามซานาฮินน์ (Sahahin Monastery) สร้างในปีค.ศ. 966 ตามตำนานเล่าว่า สร้างโดยหญิงสาวผู้หนึ่งเพื่อให้แก่ลูกชายสองคน
นำชมอารามมรดกโลกทั้งสองแห่งซึ่งเป็นผลงานที่โดดเด่นทางสถาปัตยกรรมในแบบฉบับอาร์เมเนียในยุคกลาง และองค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1996 รายละเอียดของสถาปัตยกรรมและโครงสร้างภายในเข้าใจว่าทั้งสองแห่งถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือจากสำนักเดียวกัน อารามทั้งสองแห่งถือเป็นศูนย์กลางด้านการศาสนาและการศึกษาในช่วงยุคกลางของอาร์เมเนีย
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่นร์ตซิน
บ่าย ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองดิลิจัน (Dilijan) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบเซวาน ริมแม่น้ำอัคซเทป อยู่สูง 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีป่าเขียวชอุ่มและอากาศเย็นสดชื่นตลอดปี จึงกลายเป็นเมืองที่สำคัญทางด้านการท่องเที่ยว และได้สมญานามว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งอาร์เมเนีย (Little Switzerland of Armenia) นำท่านแวะชม Old Dilijan Complex ซึ่งถือเป็นย่านประวัติศาสตร์เก่าของเมืองที่ได้รับการอนุรักษ์อาคารสถาปัตยกรรมไม้ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 เอาไว้อย่างดี
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Best Western Paradise Resort 4*, Dilijan หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
ออกเดินทางผ่าน เมืองเซวาน แวะเก็บภาพความสวยงามของ ทะเลสาบเซวาน (Sevan Lake) เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในเขตเทือกเขาคอเคซัส และนำท่านชม โบสถ์เซวานาแวงค์ (Sevanavank Monastery) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบทางตะวันตกเฉียงเหนือ คำว่า "แวงค์" เป็นภาษาอาร์เมเนีย แปลว่า วิหาร สร้างโดยเจ้าหญิงมาเรียม พระธิดาของกษัตริย์อาชอตที่ 1 (Ashot I) ในปีค.ศ.874
เมื่อเก็บภาพกันพอสมควรแล้วเดินทางต่อ (ระยะทางราว 85 กิโลเมตร ใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 30 นาที)
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย นำท่านชม วิหารการ์นี (Garni Temple) ในอดีตเมื่อ 3 ปีก่อนคริสตกาลมาแล้ว พบว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์และเป็นเมืองสำคัญในยุคจักรวรรดิ์โรมัน ในเวลาต่อมา บริเวณนี้เคยใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์แห่งอาร์เมเนียจนถึงราชวงศ์สุดท้ายที่กษัตริย์ถูกลอบสังหารโดยลูกเขยและหลานของพระองค์เอง วิหารเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ.1679 สิ่งที่พบเห็นในปัจจุบันจะเป็นการบูรณะซ่อมแซมใหม่ ลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายกรีกแต่ลวดลายเป็นศิลปะแบบอาร์เมเนีย
ถัดจากเมืองการ์นีขึ้นไปทางเหนือ บริเวณหุบเขาใกล้แม่น้ำเอแซท (Azat River) นำท่านไปชมวัดถ้ำ หรือ วิหารเก็กเคริท (Geghard Monastery) ที่แกะสลักจากภูเขาหิน (คล้ายวิหารฮินดูที่อจันต้า-อินเดีย) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 4 ซึ่งเป็นยุคที่ศาสนาคริสต์กำลังรุ่งเรือง แต่ถูกทำลายในช่วงศตวรรษที่ 9 จากการรุกรานของชาวอาหรับ อย่างไรก็ตามภายในวิหารยังมีการตกแต่งที่สวยงาม มีการตัดหินเป็นรูปคานโค้งที่งดงาม รวมทั้งมีภาพแกะสลักบนกำแพงหินในรูปต่างๆ ที่สื่อความหมายต่างๆ อีกด้วย
จากนั้นเดินทางต่อเข้าสู่ กรุงเยเรวาน เมืองหลวงของประเทศอาร์เมเนีย
ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson Blu Hotel 5*, Yerevan หรือเทียบเท่า
เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
นำท่านเดินทางไปยังเขตอารารัตและตรงไปสู่วิหารคอร์วิราบ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนของอาร์เมเนียและตุรกีเพียง 8 กิโลเมตร ใกล้แนวเทือกเขาอารารัต นำชม วิหารคอร์วิราบ ตั้งอยู่ที่ความสูง 829 เมตร คำว่า “คอร์” เป็นชื่อของนักบุญเกรกอรี่ “วิราบ” เป็นภาษาอาร์เมเนีย แปลว่า หลุมลึก สถานที่แสวงบุญของชาวคริสต์ วิหารคอร์วิราบสร้างตั้งแต่ปีค.ศ. 642 โดยคำแนะนำของนักบุญเกรกอรี่ที่ให้คำปรึกษาด้านศาสนาแก่กษัตริย์ธิริเดทที่ 3 (Tiridates III) ทำให้ศาสนาคริสต์เป็นที่เลื่อมใสและอาร์เมเนียเป็นประเทศแรกในโลกที่ได้ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ บนบริเวณนี้เองท่านสามารถมองเห็นวิวยอดเขาอารารัตใหญ่ (5,137 เมตร) และยอดเขาเลสเซอร์อารารัต (3,896 เมตร) ได้อย่างชัดเจนหากฟ้าเปิดเป็นใจ
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองเอคเมียทซิน (Echmiadzin) อยู่ห่างจากกรุงเยเรวานราว 20 กิโลเมตร นำท่านชม คริสตจักรเอคเมียทซิน (Echmiadzin Cathedral) หรือ อีกชื่อหนึ่งว่า วิหารพระมารดาแห่งคริสตจักรอาร์เมเนีย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรอาร์เมเนีย มีความสำคัญเทียบเท่าเสมือนเป็นวาติกันของอาร์เมเนีย และที่แห่งนี้จัดเป็นโบสถ์คริสต์แห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดของโลก โดยมีตำนานเล่าว่า มันเป็นสถานที่ที่พระเยซูคริสต์เสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อแสดงตำแหน่งที่พระองค์มีพระประสงค์ให้สร้างโบสถ์ ดังนั้น คำว่า “Echmiadzin” คือ "The only-begotten descended" โบสถ์ถูกสร้างขึ้นโดยนักบุญเกรกอรี่ (St.Gregory) ในระหว่างปีค.ศ.301-303 เดิมสร้างด้วยไม้และบูรณะเปลี่ยนเป็นหิน ชมภาพจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม ที่สำคัญคือได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2000
นอกจากนี้ภายในบริเวณเขตรั้วของมหาวิหารก็มีกลุ่มอาคารต่างๆ อาทิเช่น ห้องสมุด โรงพิมพ์ มหาวิทยาลัยสอนศาสนา และที่สำคัญคือ พระราชวังประทับขององค์พระสังฆราชแห่งอาร์เมเนีย หรือที่เรียกว่า “คาทอลิโก้” (Catholico)
กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
บ่าย เดินทางไปชมซากปรักหักพังของ อารามซวาสนอทซ์ (Zvartnots Cathedral) สร้างขึ้นในช่วงเวลาที่อาร์เมเนียอยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักรไบเซนไทน์และในช่วงต้นของการรุกรานอาร์เมเนียโดย ชาวอาหรับมุสลิม การก่อสร้างวิหารเริ่มขึ้นในปีค.ศ.643 โดยคาทอลิโก้ เนอร์เสส (Catholico Nerses the Builder) เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญเกรกอรี่ หลังจากการยึดครองของชาวอาหรับและสงครามรุนแรงทวีระหว่างกองทัพไบเซนไทน์และอาหรับที่บริเวณชายแดนตะวันออก รวมทั้งเกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงหลายครั้ง อารามแห่งนี้จึงเหลือเพียงซากปรักหักพังถูกฝังไว้อยู่ใต้ดินจนกระทั่งมีผู้มาขุดค้นเจอโดยบังเอิญในปีค.ศ. 1905 แต่จากการศึกษาโครงสร้างทำให้ทราบว่าอารามแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สวยมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุคนั้น จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปี ค.ศ. 2000
ก่อนอำลาอาร์เมเนีย...ดินแดนแห่งคริสต์ศรัทธา นำชม กรุงเยเรวาน (Yerevan) เมืองที่มีประวัติย้อนไปในยุคศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล เดิมชื่อ เมืองเยเรบูนี่ (Erebuni) เมืองหลวงแห่งนี้จัดเป็นเมืองที่สวย งามแห่งหนึ่งในแถบภูมิภาคคอเคซัสที่มีรูปแบบโครงสร้างอาคารสถาปัตยกรรมในตัวเมืองมีกลิ่นอายของการผสมผสานระหว่างยุโรปและรัสเซีย และตั้งอยู่ในระดับสูงกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อากาศจึงเย็นสบาย กรุงเยเรวานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ราบหุบเขาอารารัต มีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่านชื่อ แม่น้ำราซดัน (Hrazdan River)
นำท่านชม จัตุรัสกลางเมือง (Republic Square) เดิมทีชื่อว่า Lenin Square ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางทั้งด้านธุรกิจและด้านการปกครอง อันเป็นที่ตั้งของกระทรวงสำคัญต่างๆหลายกระทรวง มีตึกอาคารต่างๆที่รายล้อมรอบจัตุรัสนั้นสวยงามโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาร์เมเนียน มีน้ำพุตั้งอยู่ที่จัตุรัสดังกล่าว ซึ่งช่วงกลางคืนจะมีการเปิดให้ชมน้ำพุเต้นระบำเป็นรอบๆ ด้วยเช่นกัน
แล้วนำท่านชม เยเรวาน คาสเคด (Yerevan Cascade) สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ซึ่งมีลักษณะเป็นขั้นบันไดลดหลั่นกันลงมามีความสูงประมาณ 500 เมตรและมีการปล่อยน้ำลงมาเสมือนเป็นน้ำตกขั้นบันได โดยภายในของอาคารดังกล่าวยังเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงศิลปะร่วมสมัยตามขั้น บันไดอย่างสวยงามสะดุดตา เมื่อขึ้นเป็นถึงชั้นบนสุด ท่านสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามของกรุงเยเรวานได้โดยรอบ
เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
เข้าสู่โรงแรมที่พัก Radisson Blu Hotel 5*, Yerevan หรือเทียบเท่า
00.30 น. เดินทางสู่สนามบิน เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ เพื่อเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
03.30 น. เหินฟ้าสู่ เมืองโดฮา ประเทศกาต้าร์ โดยสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบินที่ QR 286 (ใช้เวลาบิน 3 ชั่วโมง) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
05.30 น. เดินทางถึงสนามบินโดฮา เปลี่ยนเครื่องบินเพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง กรุงเทพฯ
08.10 น. เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยสายการบิน QATAR AIRWAYS เที่ยวบินที่ QR 832 (ใช้เวลาบิน 6 ชั่วโมง 55 นาที) (บริการอาหารบนเครื่องบิน)
19.05 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
วันเดินทางไป - กลับ | ผู้ใหญ่ท่านละ | พักเดี่ยวเพิ่มเงิน | ราคาเด็กท่านละ | |
---|---|---|---|---|
26 ก.ย. 67 - 08 ต.ค. 67 | 145,900 บาท | 23,500 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
188/6 ซอยลาดพร้าว 122 (มหาดไทย1) แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310